หากพูดถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของดินแดนโบราณอย่างอิหร่าน หลายคนคงนึกถึงอาณาจักรPersia ที่ยิ่งใหญ่ หรือจักรวรรดิซาซานิด (Sasanian Empire) ซึ่งครอบครองดินแดนกว้างใหญ่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 3 ถึง 7 ทว่าน้อยคนนักที่จะรู้จัก “Xenophon” นักประวัติศาสตร์ชาวกรีกโบราณผู้บันทึกเรื่องราวของชาวเปอร์เซีย-อิหร่านอย่างละเอียด
Xenophon นั้นไม่ใช่บุคคลสำคัญในแวดวงประวัติศาสตร์อิหร่านโดยตรง แต่ผลงานของเขานำมาซึ่งความรู้ล้ำค่าเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญหลายเหตุการณ์ อาทิ การลุกฮือของชาวเปอร์เซีย-อิหร่านในยุคซาซานิด
การลุกฮือครั้งนี้เกิดขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 6 ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความไม่สงบทางการเมืองและศาสนาในจักรวรรดิซาซานิด อิทธิพลของศาสนาคริสต์แพร่หลายไปทั่วจักรวรรดิ และกลุ่มผู้คนจำนวนมากเริ่มหันหลังให้กับศาสนาเดิมอย่าง Zoroastrianism
เมื่อความไม่พอใจต่อการปกครองของกษัตริย์ Khosrau II และนโยบายทางศาสนาที่เข้มงวดเพิ่มขึ้น การลุกฮือก็เกิดขึ้นในดินแดนต่าง ๆ ของจักรวรรดิ อันได้แก่:
-
Persia:
สถานที่ เหตุการณ์ Isfahan ชาวคริสต์ถูกกดขี่และทารุณ Shiraz การประท้วงต่อต้านนโยบายภาษี -
Mesopotamia:
สถานที่ เหตุการณ์ Ctesiphon (เมืองหลวง) ชาวเปอร์เซีย-อิหร่านร่วมกันก่อจลาจล Babylon การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิความเท่าเทียม
การลุกฮือครั้งนี้เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งระหว่างศาสนาและอำนาจทางการเมืองในจักรวรรดิซาซานิด ผลที่ตามมาจากการลุกฮือมีอย่างมากมาย:
- ความอ่อนแอของจักรวรรดิ: การลุกฮือทำให้จักรวรรดิซาซานิดอ่อนแอลงอย่างมาก
- การเข้ามารุกรานของชาวอาหรับ: ความไม่สงบภายในเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชาวอาหรับสามารถยึดครองดินแดนเปอร์เซีย-อิหร่านได้ในที่สุด
Xenophon ผู้บันทึกเหตุการณ์นี้ไว้ ได้อธิบายถึงความรุนแรงและความโกลาหลของการลุกฮืออย่างชัดเจน และยังสะท้อนให้เห็นถึงความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรมของสังคมเปอร์เซีย-อิหร่านในยุคนั้น
แม้ว่า Xenophon จะไม่ได้เป็นผู้มีส่วนร่วมโดยตรงในเหตุการณ์นี้ แต่ผลงานของเขานับเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจบริบททางประวัติศาสตร์ของจักรวรรดิซาซานิดได้ดีขึ้น นอกจาก Xenophon แล้ว ยังมีนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีอีกจำนวนมากที่ทำการศึกษาและวิเคราะห์เหตุการณ์นี้ ซึ่งนำไปสู่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสังคมเปอร์เซีย-อิหร่านในยุคทองคำของมัน
การลุกฮือของชาวเปอร์เซีย-อิหร่านในยุคซาซานิดเป็นบทเรียนสำคัญที่เตือนให้เราเห็นถึงความจำเป็นในการเคารพความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม และ importance of good governance.