ในโลกแห่งการเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและการแก่งแย่งอำนาจ การเลือกตั้งมักเป็นเวทีที่แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบอบประชาธิปไตย และรัสเซียในปี 2018 ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เมื่อวลาดิมีร์ ปูติน ผู้ครองอำนาจมายาวนาน ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีอีกสมัยหนึ่ง ผ่านการลงคะแนนเสียงที่ถูกมองว่ามีการควบคุมและไม่มีความโปร่งใส
การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความกังวลอย่างมากของสังคมโลก หลังจากรัสเซียเผชิญกับข้อกล่าวหาในการแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาปี 2016 ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศถูกเปʌจสูงขึ้น การเลือกตั้งปี 2018 จึงกลายเป็นการทดสอบสำคัญสำหรับรัสเซียในการพิสูจน์ความชอบธรรมของระบอบการปกครอง
ปูติน ผู้ที่มักถูกมองว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและชาญฉลาด ได้นำเสนอภาพลักษณ์ของความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ต่อประชาชนรัสเซีย โดยอาศัยประสบการณ์ของตนในการบริหารประเทศมาอย่างยาวนาน รวมถึงการฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังจากวิกฤติในช่วงต้นทศวรรษ 2000
อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ถูกครหาว่ามีการโกงคะแนน และขาดความโปร่งใสในการลงคะแนน ผู้สมัครคู่แข่งของปูติน เช่น อเล็กซี่ นาวัลนี ผู้ที่ขึ้นชื่อเรื่องความกล้าหาญในการต่อต้านคอรัปชั่น ถูกห้ามไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้ง ทำให้การแข่งขันทางการเมืองถูกมองว่าเป็นการแสดงละครมากกว่าการแข่งขันที่แท้จริง
ผลของการเลือกตั้งปี 2018 นำไปสู่การเสริมสร้างอำนาจของปูติน และการต่ออายุวาระการปกครองของเขาอีกหกปี อย่างไรก็ตาม การเลือกตั้งครั้งนี้ยังทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมรัสเซียมากขึ้น ผู้ที่เห็นด้วยกับปูตินมองว่าเขาเป็นผู้นำที่แข็งแกร่งและจำเป็นต่อความมั่นคงของประเทศ ในขณะที่ผู้คัดค้านมองว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นตัวอย่างของระบอบเผด็จการ
**
เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งปี 2018
เหตุการณ์ | รายละเอียด |
---|---|
การถูกห้ามไม่ให้ลงสมัครเลือกตั้งของอเล็กซี่ นาวัลนี | นาวัลนี ผู้ที่เป็นนักเคลื่อนไหวทางการเมืองและเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งที่สุดของปูติน ถูกตัดสิทธิ์ในการลงสมัครเลือกตั้งเนื่องจากถูกกล่าวหาว่าไม่มีคุณสมบัติตามกฎหมาย |
การประท้วงต่อต้านการเลือกตั้ง | หลังจากมีการประกาศผลเลือกตั้ง ผู้คนจำนวนมากในรัสเซียได้ออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนการเลือกตั้ง และเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งใหม่ที่เป็นธรรม |
การลงโทษต่อผู้ประท้วง | รัฐบาลรัสเซียตอบโต้การประท้วงด้วยการจับกุมผู้ชุมนุมและดำเนินคดี |
**
ผลกระทบของการเลือกตั้งปี 2018
- การยืนยันอำนาจของปูติน: การเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ปูตินสามารถคงตำแหน่งประธานาธิบดีต่อไปได้อีกหกปี และทำให้เขามีอำนาจในการควบคุมประเทศอย่างแน่นอน
- ความขัดแย้งในสังคมรัสเซีย: การเลือกตั้งที่ถูกมองว่าไม่มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ทำให้เกิดความขัดแย้งและแบ่งแยกในสังคมรัสเซีย
- ความกังวลของชาติตะวันตก: การเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ชาติตะวันตกมีความกังวลเกี่ยวกับการกระชับอำนาจของปูติน และความเสี่ยงต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรัสเซีย
** Dmitry Medvedev: From President to Prime Minister and Beyond
** Dmitry Anatolyevich Medvedev เป็นบุคคลที่น่าสนใจในแวดวงการเมืองรัสเซีย เขามีประสบการณ์อันหลากหลายตั้งแต่ตำแหน่งประธานาธิบดีของรัสเซีย (2008-2012) ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี และยังคงมีบทบาทสำคัญในพรรคสหพันธ์รัสเซีย
Medvedev เป็นที่รู้จักกันในด้านความเป็นนักการเมืองที่ชาญฉลาดและมีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ เขามีความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมายและเศรษฐศาสตร์ ซึ่งช่วยให้เขาสามารถดำเนินนโยบายที่ซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
**
การเปลี่ยนผ่านจากประธานาธิบดีไปเป็นนายกรัฐมนตรี
การที่ Medvedev เปลี่ยนจากตำแหน่งประธานาธิบดีไปเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2012 เป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่น่าสนใจ มันแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการทำงานร่วมกันของผู้นำรัสเซีย
การตัดสินใจนี้ถูกมองว่าเป็นการเปิดทางให้ Vladimir Putin ซึ่งเป็นผู้นำที่มีอิทธิพลอย่างมากในรัสเซีย กลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอีกครั้ง
Medvedev รับบทบาทนายกรัฐมนตรีอย่างเต็มที่ และยังคงสนับสนุนนโยบายของ Putin
**
บทบาทของ Medvedev ในพรรคสหพันธ์รัสเซีย
Medvedev ยังคงมีบทบาทสำคัญในพรรคสหพันธ์รัสเซีย แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งระดับสูงสุดก็ตาม เขาใช้ความรู้และประสบการณ์ในการให้คำปรึกษานโยบาย และสนับสนุนการเติบโตของพรรค
สรุป
Dmitry Medvedev เป็นบุคคลที่น่าสนใจในแวดวงการเมืองรัสเซีย
เขาเป็นตัวอย่างของผู้นำที่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในขณะนี้ แต่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในประเทศรัสเซีย
**